เชื่อหรือไม่ว่าในอดีตเหล่าศาสนาต่างๆ เคยถูกท้าทายถึงต้นต่อและที่มา จนทุกศาสนาในเวลานั้นต่างก็ต้องหาเอกสารหรือหลักฐานยืนยันที่สามารถระบุไได้ว่าศาสนาของตนเองนั้นมีที่มาและเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานแท้จริง ซึ่งในหลักฐานต่างๆ นั้นในด้านศาสนาคริสและยูดายต่างพบปัญหาเนื่องด้วยบันทึกของพันะสัญญาเก่าที่มีความสำคัญนั้นกลับเป็นฉบับคัดลอดและไม่สามารถหาฉบับที่เก่าแก่หรือเป็นภาษาฮีบรูแบบดั่งเดิมได้ แต่ถึงกระนั้นก็มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยยืนยันถึงต้นตอและการดำรงอยู่มาอย่างยาวนานของทั้งสองศาสนาสิ่งนั้นถูกเรียกว่า Dead Sea Scrolls กลุ่มม้วนกระดาษเอกสารที่มีการจดเป็นภาษาฮีบรูที่มีความโบราณและอายุมากกว่า 2000 ปีที่ได้กลายเป็นหนึ่งในเอกสารทางโบราณชิ้นสำคัญที่ช่วยในการเข้าใจประวัติศาสตร์ได้มากยิ่งขึ้น
ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของ Dead Sea Scrolls
Dead Sea Scrolls เป็นชุดของเอกสารที่ถูกระบุว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าที่มีความโบราณมากที่สุดเท่าที่เคบค้นพบมา Dead Sea Scrolls ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญในด้าน ศาสนา และภาษาอย่างมาก เพราะต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ของคัมภีร์ซึ่งเก็บรักษาหลักฐานของความหลากหลายทางความคิดและวิถีปฏิบัติในแบบศาสนายูดายดั่งเดิมเอาไว้ นับว่าการค้นพบที่สำคัญในวงการประวัติศาสตร์และโบราณคดีสมัยใหม่ และจากการศึกษาม้วนกระดาษดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ศาสนาคริสต์และศาสนายูดายในยุคแรก
Dead Sea Scrolls ต้นฉบับฉบับแรกถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1947 โดยเด็กเลี้ยงแกะนาม มูฮัมมัด อาดิบ (Mohammed Adib) และญาติๆ ที่ได้พบม้วนกระดาษเจ็ดม้วนบรรจุอยู่ในไห บริเวณถ้ำคุมราน (Qumran)ของอิสราเอลใกล้กับทะเลตายหรือเดดซี โดยนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการปัจจุบันเชื่อว่าผู้เขียนขึ้นนั้นคือคณะนักบวช “เอสซีน” (Essenes) แห่งศาสนายูดายที่หายไปจากประวัติศาสตรืช่วง 2000 ปีก่อน โดยพบกระจัดกระจ่ายอยู่ในถ้ำต่างๆ อีก 11 แห่งใกล้ๆกับถ้ำคุมราน (Qumran) นักวิชาการเลยสมุติฐานว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเคยมีชุมชนอยู่อาศัยมาก่อน
โดยใช้วิธีการเก็บรักษาไว้ในภาชนะดินเผาที่ฝังอยู่ในดินหรือในถ้ำซึ่งเป็นวิธีการของชาวยิวโบราณ โดยมีการค้นพบชิ้นส่วนกว่า 15,000 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก คาดว่าหากรวมเป็ต้นฉบับจะมี 800 ถึง 900 ชิ้น โดยทั่วไปแล้วจะติดป้ายกำกับด้วย หมายเล ถ้ำและอักษรตัวแรกของชื่อภาษาฮีบรู เช่น 1QM = Cave 1, Qumrān, Milḥamah หรือ 4QTest = Cave 4, Qumrān, Testimonia (เช่น การรวบรวมข้อความพิสูจน์อักษร) นอกจากนี้ต้นฉบับแต่ละฉบับยังได้รับหมายเลขประจำตัวอีกด้วย
เนื้อหาภายในส่วนใหญ่เกี่ยวกับหลักฐานของศาสนายูดายที่ชาวยิวนับถือโดนตัวเอกสารฉบับนี้เชื่อว่าถูกเขียนขึ้นในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล เนื้อหามีทั้งส่วนของคัมภีร์ไบเบิล , การปฏิบัติตามศาสนายูดาย ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้นก็ถูกบันทึกลงในเอกสารชุดนี้เช่นกันไม่ว่าจะเป็นเทศกาลต่างๆ หรืองานเฉลิมฉลองที่พวกเขามักจะจัดขึ้น แม้แต่ผลงานศิลปะและวัณนกรรมโบราณก็มีกล่าวถึง สิ่งเหล่านี้ล้วนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์การค้นพบ Dead Sea Scrolls ทำให้ความเข้าใจเี่ยวกับชาวยิวโบราณมีความชัดเจนขึ้นทันทีไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมหรือความเชื่อเรื่องธรรมชาติที่มีอิทธิพลส่งผลให้เพัฒนาศาสนาคริสในเวลาต่อมา
ข้อความส่วนใหญ่ของ Dead Sea Scrolls เป็นภาษาฮิบรู โดยมีบางข้อความเขียนเป็นภาษาอราเมอิก มีเพียงส่วนเล็กน้อยที่ถูกบันทึกโดยภาษากรีก ตั้งแต่ค้นพบจนถึงปัจจุบันนั้นถูกดูแลโดยหลายๆ ฝ่ายที่มีความเี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นอิสราเอล อิรักและจอร์แดน แต่ก็มีเนื้อหาบางส่วนที่มีความละเอียดอ่อนและไม่มีฝ่ายไหนกล้าตีความเผยแพร่ออกมา นื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งกับศาสนาอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ทฤษฎีที่มาของ Dead Sea Scrolls
แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะยังคงสรุปว่า Dead Sea Scrolls นั้นถูกเขียนและเก็บเอาไว้โดยชุมชนและคณะนักบวชเอสซีนที่อาศัยอยู่บริเวณถ้ำคุมราน แต่ก็มีนักวิชาการหลายคนได้ทำการศึกษาและโต้แย้งพร้อมนำเสนอด้วยทฤษฎีต่างๆ โดยที่มีผู้คนสนใจมากที่สุดนั้นคือทฤษฎี Dead Sea Scrolls แท้จริงแล้วมีจุดกำเนิดจากผลงานของชาวยิวที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม โดยนักวิชาการนาม Karl Heinrich Rengstorf ครั้งแรกในช่วงปี 1960 ว่า Dead Sea Scrolls มีต้นกำเนิดที่ห้องสมุดของวิหารยิวในกรุงเยรูซาเล็ม ในขณะที่บางคนกล่าวว่าม้วนกระดาษดังกล่าวเป็นผลงานของห้องสมุดหลายแห่งในเยรูซาเล็มและไม่จำเป็นต้องเป็นห้องสมุดในวิหารเยรูซาเล็มเพียงที่เดียว โดยผู้เสนอทฤษฎีดังกล่าวชี้ไปที่ความหลากหลายของการเขียนที่บันทึกเรื่องราวหลายแง่มุมและการเขียนด้วยลายมือมากมายเป็นหลักฐานในทฤษฎี
ปัจจุบัน Dead Sea Scrolls ก็ยังคงไม่สามารถระบุที่มาได้อย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้เขียนและใครเป็นผู้เก็บรักษาเอาไว้ เพราะเหตุใดจึงได้ซ่อนม้วนกระดาษกลุ่มนี้เอาไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนนี่คือการค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญลำดับต้นๆ ในวงการโบราณคดีที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ทั้งในแง่ของด้านการศึกษาประวัติศาสตร์และศาสนาวิทยาที่ช่วยไขความกระจ่างให้กับทุกๆ ฝ่ายได้เห็นถึงต้นต่อ วิถีชีวิต แนวทางปฏิบัติที่หายสาปสูญไประหว่างกาลเวลาได้ชัดเจนขึ้น
สุดท้ายนี้ใครที่ชื่นชอบบทความที่เปี่ยมไปด้วยสาระความรู้ใหม่ๆ อย่าลืมติดตามได้ที่ article.reeeed.com นะคะ เรามีบทความสาระน่ารู้เกี่ยวกับสื่งสิ่งพิมพ์ รีวิวแนะนำหนังสือหรือนักเขียนให้ติดตามอัพเดทใหม่อยู่เสมอ ส่วนนักอ่านคนไหนที่กำลังมองหาร้านหนังสือออนไลน์ก็สามารถแวะไปเลือกซื้อหนังสือได้ที่ Reeeed.com เรามีหนังสือมากมายรอนักอ่านเข้าไปค้นหาความสนุกและเพลินเพลินกัน อย่าลืมเลือกจะ Read เลือก Reeeed นะคะ