Resilience หรือแปลเป็นไทยว่า พลังฟื้นใจ มีความหมายว่าความยืดหยุ่นทางจิตใจที่หากล้มก็สามารถลุกขึ้นได้ไว เมื่อพบเจอปัญหาหรืออุปสรรคที่มีความยากลำบากก็สามารถก้าวผ่านไปได้รวดเร็วด้วยใจที่แข็งแกร่ง เพราะบนเส้นทางชีวิตเราทุกคนล้วนต้องพบความล้มเหลวและเจ็บปวด สูญเสีย สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อพบเจอสถานการณ์ดังกล่าวคือการฟื้นคืนพลังใจ Resilience จึงเป็นทักษะที่ทุกคนควรมีและติดตัวเอาไว้ในปัจจุบัน เมื่อเราเจอปัญหาก็สามารถข้ามและฝ่ามันไปได้อย่างแน่นอน ในวันนี้จะพาคุณไปรู้จักทักษะดังกล่าวให้มากขึ้น พร้อมหนังสือน่าสนใจมาแนะนำนักอ้่านทุกคนกันกับ ลุกให้ไหวในวันที่ใจล้มที่จะพูดถึงเรื่อง Resilience ให้ทุกคนได้รู้จัก
รู้จัก Resilience พลังฟื้นใจ ที่ทำให้ชีวิตยืดหยุ่น
โดย Resilience นั้นถูกแบ่งให้ 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ ธรรมชาติ ความยืดหยุ่นตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่คุณเกิดมาพร้อมกับมัน มักเกี่ยวข้องกับความกระตือรือร้นในชีวิตและแนวโน้มที่จะลองสิ่งใหม่ๆ , ปรับตัวได้ ความสามารถในการปรับตัวได้มาจากสถานการณ์ที่ยากลำบากซึ่งกระตุ้นให้คุณปรับตัวและเติบโต ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม , ฟื้นสภาพ ฟื้นคืนสภาพแล้วพัฒนาจากการเรียนรู้และเทคนิคที่ตั้งใจเพื่อเสริมทักษะของคุณ
โดย Resilience นั้นมักมีลักษณะอยู่ในคนทั่วไปทำให้พวกเรามีความคิดเชิงบวกได้และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดี มีแนวโน้มมองความท้าทายเป็นโอกาสและรับรู้ขีดจำกัดของตน ความอดทนยังถือว่าเป็นลักษณะสำคัญของคนที่ปรับตัวได้อีกด้วย ความยืดหยุ่นของพวกเขาเป็นทั้งลักษณะนิสัยและความสามารถในการเรียนรู้พัฒนาให้เติบโตขึ้นได้ ยิ่งเราฝึกฝนมากเท่าไหร่เราก็จะรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นเท่านั้น โดย Resilience นั้นสามารถแสดงออกมาได้ในหลายๆ รูปแบบ เช่น
ความมั่นใจในตนเอง
คือการรู้และเข้าใจว่าตนเองสามารถประสบความสำเร็จได้ มีความกล้าหาญต่อสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ด้านหน้าได้อย่างมั่นใจ ความมั่นใจนั้นมีความสำคัญอย่างมากในการประกอบอาชีพ ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังจัดการโครงการขนาดใหญ่ในที่ทำงาน ความมั่นใจในตนเองสามารถช่วยให้เราจดจ่ออยู่กับการบรรลุผลสำเร็จในขั้นสุดท้ายที่ดี แทนที่จะถูกขัดขวางโดยสิ่งที่อาจผิดพลาดระหว่างทาง ในการสัมภาษณ์งาน ทักษะนี้สามารถช่วยให้เราเน้นจุดแข็งของตัวเองแทนที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
การมองโลกในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดีช่วยให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งดีๆ และจินตนาการถึงสิ่งดีๆ ที่อาจเกิดจากสถานการณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น เราอาจรู้สึกว่าเราใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการเขียนรายงาน หากเรามองโลกในแง่ดี เราไม่ได้รู้สึกว่าเราไม่มีทักษะในการเขียนรายงาน แต่เรายังไม่เชี่ยวชาญในทักษะนี้ เราจะรู้ว่าด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นสามารถพัฒนาความสามารถได้ และศักยภาพในการปรับปรุงนั้นไม่มีขีดจำกัด
ความอดทน
ความอดทนช่วยให้จัดการกับภาวะแทรกซ้อนและความไม่สบายใจได้อย่างดีและควบคุมอารมณ์ของเราได้ หากเข้าใจถึงความสำคัญของความความอดทนที่ดีมากพอ จะรู้ว่าการอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายในขณะนี้สามารถนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้ ความอดทนสามารถช่วยให้เราเพิกเฉยต่อสิ่งรบกวนทางอารมณ์ที่อาจก่อให้เกิดความผิดพลาด และทำให้จดจ่อกับเป้าหมายส่วนตัว และยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้รอบข้างมองว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาเราได้อีกด้วย
วิธีการพัฒนาตนเองให้มีทักษะ Resilience ให้ดียิ่งขึ้น
1. มีจุดมุ่งหมาย
การมีเหตุผลที่ยืดหยุ่นมีส่วนช่วยเป็นแรงจูงใจที่เราต้องการเพื่อพัฒนาทักษะ Resilience จุดประสงค์ของเราอาจเป็นอะไรก็ได้ที่ผลักดันให้พัฒนาความแข็งแกร่งและความอดทนต่อความยากลำบาก เช่น ความปรารถนาที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ ความพยายามในการเลื่อนตำแหน่งหรือการพัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน เป็นต้น
2. เพิ่มความมั่นใจของคุณ
การเชื่อว่าเราสามารถรับมือกับความท้าทายและเติบโตท่ามกลางความยากลำบากได้มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยให้พัฒนาทักษะ Resilience ได้ เมื่อรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการประสบความสำเร็จ ให้พยายามเตือนตัวเองถึงความสำเร็จในอดีต ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นว่าตัวเราเคยประสบความสำเร็จมาก่อนและสามารถประสบความสำเร็จอีกครั้งได้ นอกจากนี้พยายามนึกภาพคนที่ปรับตัวได้ดีมีพฤติกรรมอย่างไร และพยายามเลียนแบบความคิดของคนเหล่านั้น
3. ตั้งเป้าหมาย
การมีเป้าหมายสามารถใช้เป็นแม่แบบสำหรับการอดทนต่อความยากลำบาก กำหนดเป้าหมายของคืออะไรและทำไมเราถึงต้องการบรรลุเป้าหมาย จากนั้นจึงวางแผนที่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ท้าทายเพื่อที่เราจะได้ไม่ละสายตาจากเป้าหมายเหล่านั้น จากนั้นเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ให้เราลองไตร่ตรองถึงเป้าหมายและแผนนั้นว่าสามารถทำได้จริงหรือเปล่า
4. ใช้ทักษะการแก้ปัญหาของคุณ
การรู้ว่าเราสามารถหาทางออกได้มีส่วนช่วยให้รู้สึกถึงความพร้อมและเพิ่มความมั่นใจในครั้งต่อไปที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย ความรู้สึกเตรียมพร้อมและความมั่นใจนั้นจำเป็นต่อการอดทนหรือฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก สะท้อนประสบการณ์ของเราและการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์จากคนที่เรารู้ การระลึกถึงวิธีแก้ปัญหาในอดีตหรือของคนอื่นๆ สามารถช่วยให้เราคิดค้นสิ่งใหม่ในปัจจุบันได้
5. เชื่อมั่นในคนที่รัก
การมีคนรอบตัวที่ดี อาทิ เพื่อนและครอบครัว ค่อยส่งพลังสนับสนุนอยู่เสมอช่วยระบายความคับข้องใจเมื่อเรารู้สึกหนักใจ คนที่เรารักจะแสดงความเชื่อมั่นในตัวเราและสนับสนุนให้ยืนหยัดแม้ในขณะที่เราคิดว่าทำไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นกำลังใจที่เราต้องการเพื่อรักษาความคิดให้ยืดหยุ่นจากความยากลำบากหรือปัญหาที่กำลังเผชิญ
สำหรับใครที่ต้องการเข้าใจ Resilience ทาง Reeeed เองก็มีหนังสือแนะนำอย่าง ลุกให้ไหวในวันที่ใจล้ม หนังสือที่จะมาช่วยให้เราพัฒนาทักษะ พลังฟื้นใจ (Resilience) ทักษะที่จำเป็นในปัจจุบันสำหรับทุกคนไม่ว่าจะใช้ชีวิตทั่วไปหรือการทำงาน
ชีวิตคนเราไม่ได้ดำเนินตามเส้นทางที่วางไว้เสมอไป ขอเพียงแค่กล้าเผชิญหน้ากับจิตใจตนเอง ปัญหาหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งย่อมเป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนแปลงชีวิต “พลังฟื้นใจ (Resilience)” พลังที่ช่วยควบคุม ดูแล และปรับจิตใจอย่างละเอียดอ่อน นุ่มนวล และถูกวิธี พลิกฟื้นจากความท้อแท้และหมดกำลัง การฟื้นใจได้ไวไม่ได้แปลว่าเมื่อล้มลงจะไม่เจ็บปวด ใจสลาย หรือผิดหวัง กลับกัน บาดแผลนั้นทำให้คุณค้นหาและเรียนรู้ แล้วนำประสบการณ์นั้นเป็นพลังให้ลุกขึ้นสู้พร้อมเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ซื้อหนังสือ ลุกให้ไหวในวันที่ใจล้ม