หนังสือเล่มที่ 3 ของ นีน่าคิม ต่อจาก “พักให้ไหว ค่อยไปต่อ” และ “ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ ฉันแค่อายุ 30” และยังคงเป็นหนังสือที่นำเสนอเรื่องราวที่ชวนเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเช่นเคย โดยนำเสนอผ่านรูปภาพและข้อความที่สอดแทรกเอาไว้เป็นคำประกอบในแต่ละหน้าให้ช่วยปลอบประโลมเหล่าผู้อ่านที่หยิบจับหนังสือขึ้นมา ให้หนังสือของเธอเป็นเหมือนเพื่อนและที่พักใจยามเหนื่อยล้าของทุกคนเหมือนกับเล่มอื่นๆ ของเธอ หนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาอะไรรอคอยนักอ่านอยู่บ้างนั้น Reeeed จะพาไปรู้จักกันค่ะ
รีวิว “เฮ้อ…หายตัวไปเลยได้มั้ย”
“เฮ้อ…หายตัวไปเลยได้มั้ย” เป็นหนังสือที่กล่าวถึงสถานการณ์ที่เรามักทำอะไรบางอย่างผิดพลาดหรือรู้สึกไม่สบายใจจนอยากจะหายไปสักพักหนึ่ง ซึ่งกล่างโดยความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ในบางครั้งเราเองก็ต้องการเวลาในการเตรียมพร้อมหรือเตรียมใจเพื่อรับมือและเผชิญหน้ากับปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว การอยากจะหายตัวไปเสียเวลานั้นเป็นปกติแม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งนั้นสามารถแก้ไขได้ แต่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่การรับมือกับปัญหาหลายครั้งก็ยังหนักหนาเกินไป
หนังสือได้นำเสนอเรื่องราวออกเป็น 9 บทที่จะมีมุมมองต่างๆ ที่อาจจะเป็นปัญหาให้เรารู้สึกว่าอยากหายไป จะมีอะไรบ้างมาดูกัน
บทที่ 1 ทลายกำแพง
กล่าวถึงปัญหาที่เราทุกคนพบเจอ เรื่องราวที่ชวนให้รู้สึกหัวร้อน หรือความรู้สึกเกลียดตัวเองนั้นเปรียบได้ดั่งเงาดำในค่ำคืนที่มืดมิดสงัด หลายๆ ครั้งที่เรารู้สึกว่าวันนี้มันช่างเหนื่อยล้าเสียจริงๆ และไม่มีสถานที่ใดให้คุณได้พักผ่อนได้อย่างสบายใจ แต่สุดท้ายดวงตะวันจะต้องมาเยือนอย่างแน่นอนปัญหาเหล่านั้นจะได้รับการแก้ไขแต่ยังไงก็แล้วแต่ ต่อให้แสงสว่างจะมากมายขนาดไหนเงาเหล่านั้นก็ยังตามติดเราอยู่เสมอ ไม่มีใครที่ไม่พบเจอกับปัญหาทุกคนต่างมีปัญหาของตัวเอง
บทที่ 2 สาหัสนักนะวัยทำงาน
วัยทำงานที่มีงานกองพะเนินเข้ามาได้ไม่หยุดหย่อน เวลาในชีวิตถูกใช้ไปกับการทำงานในแต่ละวัน การพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้นเปรียบเสมือนการไต่ภูเขาที่เราไม่มีทางรู้ได้ว่ายอดเขานั้นมีรางวัลที่คู่ควรอยู่หรือเปล่า การรอคอยให้ถึงวันศุกร์และการอยากชะลอวันอาทิตย์ให้หมดอย่างเชื่องช้า งานที่ทำเสร็จ = จุดเริ่มต้นของงานใหม่ที่ไม่รู้จักจบสิ้น
บทที่ 3 ความสัมพันธ์ช่างยากเย็น
เมื่อคุณอายุมากขึ้นความสัมพันธ์เองจะกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นเช่นกัน เวลาคุณเลือกที่จะใส่ใจใครสักคนเรามักจะต้องการความใส่ใจตอบกลับมา การจริงใจกับใครสักคนหากถูกหักหามน้ำใจก็ยิ่งทำให้เรากลัวความรู้สึกผิดหวังมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งเราใช้ความรู้สึกมากขึ้นเท่าไหร่ความเกลียดชังก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว คุณอาจจะเคยชื่นชมใครสักคนแต่ในวันนี้คุณอาจเกลียดเขาคนนั้นด้วยการกระทำที่เล็กน้อยๆ หลายๆ ครั้งของเขาก็เป็นได้เช่นกันและ “การแสดงความโกรธออกมายิ่งเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม” และหลายคนกลัวการปฏิเสธทำให้ต้องตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้
บทที่ 4 ความรักกับหมอนั่น
เมื่ออายุมากขึ้นความรักนั้นไม่ได้หวือหวาในแบบวัยหนุ่มสาวอีกต่อไป ส่งซิกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรากำลังสนใจนั้นอาจไม่ได้ผลแต่ควรเป็นการกล่าวออกไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า เราจะเชื่อมั่นใจพรมลิขิตและรักแท้น้อยลงไม่รั้งหรือพยายามกับความรักที่ทำให้เราเหนื่อยจนเกินไป แต่ใส่ใจกับความรักที่แบ่งปันกัน คนที่สามารถแลกเปลี่ยนเรื่องราวในแต่ละวันและหัวเราะไปด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องดีพร้อม แต่พร้อมจะอยู่ข้างๆ และเป็นกำลังใจให้แก่กันเสมอ เพราะ “ความรักคือส่วนหนึ่งของกันและกัน”
บทที่ 5 ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ
บทนี้กล่าวถึงเรื่อวราวของผู้เขียนที่มักมีอะไรมากมายไม่ได้ดั่งใจเธอ อย่างเช่น ยามเปียกฝนที่ผมของเธอจะยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่เปียกจะแสดงให้เห็นหุ่นที่ไม่ได้เซ็กซี่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่ไม่ใช่น้อย หรือวันหยุดที่นานๆ จะมีสักที แต่พลันจะแต่งตัวให้สวยแล้วออกไปข้างนอกก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี และข้อคิดดีๆ คือการที่เธอมองเห็นคนอื่นเปล่งประกายแล้วได้ถามตัวเองว่าจะมีใครบ้างนะที่มองเห็นเธอเปล่งประกาย จนเธอพบคำตอบว่าคนที่มีความมั่นใจเหล่านั้นคนแรกที่เห็นพวกเธอเปล่งประกายคือตัวของพวกเธอเอง เพราะฉะนั้นจึงควรเริ่มจากการมีความมั่นใจในตัวเองซะก่อน
บทที่ 6 ฉันไม่รู้จักตัวเองเหมือนกัน
“ในการใช้ชีวิตหากรู้สึกอย่างไรจงแสดงออกไปอย่างน้ัน ไม่ใช่แค่โกรธอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักแสดงความโกรธออกไปด้วย ถึงเวลาที่ตัวฉันเองต้องเรียนรู้สกิลนี้ให้ลึกซึ้งบ้างเหมือนกัน” ประโยคข้างต้นผู้เขียนเล่าว่าเป็นสิ่งที่รุ่นพี่บอกเธอและเธอปรารถนาที่จะทำให้ได้แบบนั้น แต่เพราะเรามักเข้าใจว่าการเป็นผู้ใหญ่จะต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ได้เสมอนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกที่จะใส่หน้ากากปั่นหน้ายิ้มอยู่เสมอจนหลายๆ คนต่างหลงลืมใบหน้าที่แท้จริงของตนเองไปแล้ว
บทที่ 7 สิ่งที่หลงลืมไปในระหว่างใช้ชีวิต
“น้ำที่หกไปแล้ว ไม่สามารถเอากลับคืนได้” เป็นสำนวนที่ผู้เขียนได้เรียนรู้และใช้ในการเตือนสติให้ใช้ชีวิตอย่างระวังอยู่เสมอ การใช้ชีวิตในทุกๆ วันเมื่อเวลาผ่านหลายสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เราอาจเคยเป็นคนสำคัญของใครสักคน แต่ในวันนี้คนๆ นั้นก็หายไปจากชีวิตเรา ใครที่เคยเป็นที่พึ่งบัดนี้เขาก็ไม่อยู่ที่เดิมอีกแล้ว การรักษาความพันธ์พร้อมๆ กับรักษาความเป็นตัวเองไว้นั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
บทที่ 8 หากยืดแขนออกไป
บางครั้งการยืนแขนออกไปหรือให้คำแนะนำใครสักคนก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นหรือเป็นสิ่งที่คนๆ นั้นต้องการเสมอ แต่สิ่งที่ต้องการอาจเป็นใครสักคนที่รับฟัง ใครสักคนที่เป็นสถานที่พักผ่อนและพักพิงจากวันที่เหนื่อยล้าจากเหตุการณ์ที่ต้องพบเจอ แค่นั้นก็เพียงพอ
บทที่ 9 ทางออก
ปัญหาคือสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ ดั่งเงาตามตัวที่กล่าวไว้ในบทแรก ทุกคนต่างต้องการทางออกเมื่อมีปัญหากันทั้งสิ้น อยากหายไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ การที่เราอยากหยุดพักหรือเปลี่ยนสถานที่เพื่อหนีปัญหาไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ดั่งที่ผู้เขียนได้กล่าวว่า
“ความกังวลและความคิดไร้สาระที่คอยรังควานฉันอยู่เรื่อย เอาทั้งหมดมาห่อให้แน่น แล้วโยนทิ้งลงถังขยะกันเถอะ! เพราะพวกเธอน่ะ อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์!”
และทั้งหมดคือ รีวิว “เฮ้อ…หายตัวไปเลยได้มั้ย” ผลงานอีกเล่มของคุณนีน่าคิมที่เอาชีวิตธรรมดาๆ มาบอกเล่าผ่านรูปภาพให้คุณเห็นว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ การอยากหายตัวไปเมื่อต้องเจอกับเรื่องราวที่ยากจะรับมือเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้สึก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อถึงเวลาคุณจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้สำหรับใครที่มองหาร้านหนังสือออนไลน์ก็อย่าลืมแวะเข้ามาที่ Reeeed.com นะคะ เรามีหนังสือมากมายรอให้คุณเข้ามาอ่านและเลือกซื้อทั้งหนังสือเล่ม , e book , นิยายรายตอน หรือใครที่ชื่นชอบการอ่านบทความทาง article.reeeed ก็มีบทความใหม่ๆ อัพเดทให้คุณอยู่เสมอ อย่าลืมเข้ามาอ่านกันนะคะ