ซามูเอล เบ็คเค็ทท์ (Samuel Beckett) นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลปี 1969 ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกวีคนสำคัญชาวไอริช งานของเบ็คเค็ทท์นั้นได้แสดงภาพลักษณ์อันมืดมนของมนุษย์ทั้งอย่างตรงไปตรงมาและในเชิงปรัชญา เป็นนักเขียนอีกหนึ่งคนที่ฝากผลงานน่าติดตามเอาไว้มากมายและยังถูกหยิบมาอ่านอยู่เสมอๆ ในวันนี้ Reeeed จะพาไปรู้จักกับนักเขียนท่านนี้และผลงานน่าสนใจบางส่วนที่เราอยากแนะนำให้นักอ่านได้รู้จักกัน
ประวัติของ ซามูเอล เบ็คเค็ทท์ (Samuel Beckett)
ซามูเอล เบ็คเค็ทท์ (Samuel Beckett) เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1906 ในเมือง Foxrock ใกล้ดับลิน อิร์แลนด์ (ปัจจุบันอยู่ในสภาวะรัฐสภาของไอร์แลนด์) ในครอบครัวชนิดกลาง บิดาของเขาชื่อ William Frank Beckett เป็นเจ้าหน้าที่ที่ธุรกิจสมัยก่อนอาชีพ และมารดาของเขาชื่อ Mary Beckett เป็นนักเรียนสอนดนตรีที่ชอบมาก Beckett ได้รับการศึกษาที่ Portora Royal School ในเมืองอินนิสคิลล์ และต่อมาเข้าเรียนที่ทางมหาวิทยาลัย Trinity College ในเมืองดับลิน ในระหว่างการศึกษาที่นั่นเขาเริ่มสนใจในการเขียนและเริ่มเผชิญกับการแสดงละคร
หลังจากจบการศึกษาจาก Trinity College เขาเดินทางไปประทุกภาคในยุโรป และต่อมาอยู่ในตัวเมืองพารีส เขาได้ร่วมกับกลุ่มศิลปินและนักเขียนชื่อดังอื่นๆ เช่น James Joyce, Ernest Hemingway, และ Gertrude Stein ซึ่งเป็นแหล่งแรงบันดาลใจสำคัญของเขา ผลงานที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากของ Beckett ได้รวมถึงละครชื่อดัง “Waiting for Godot” และ “Endgame” ซึ่งเป็นผลงานที่เขียนขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ผลงานของเขามีลักษณะเอ็กซิสเตนเชียลและเน้นการสืบค้นความหมายของชีวิตและการดำรงอยู่ของชีวิต
เมื่อเป็นไปได้ Beckett เคยเขียนและเผยแพร่ผลงานในภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ แต่เขาเขียนมากที่สุดในภาษาฝรั่งเศส ผลงานของเขามีลักษณะมืดมนและเล่าเรื่องราวที่เน้นความหมายอย่างลึกซึ้งและคมชัด ในปี 1969 Beckett ได้รับรางวัลโนเบลสวีต์ซึ่งเป็นรางวัลวรรณกรรมชั้นนำในโลก ผลงานอื่นๆ ของเขายังได้รับความรู้จักและความยอดเยี่ยมอย่างแพร่หลาย อาทิเช่น “Krapp’s Last Tape” (เครปป์และเทปสุดท้าย), “Happy Days” (วันที่ดีสุข), “Not I” (นอทไอ), “Rockaby” (ร็อคกาบาย), “Footfalls” (ฟุตฟอลล์), “Play” (เพลย์) และอื่นๆ
นอกจากการเขียนละคร สิ่งอื่นๆ ที่เป็นที่รู้จักเกี่ยวกับ Samuel Beckett คือผลงานทางวรรณกรรมสองเล่มชื่อ The Trilogy of Molloy, Malone Dies, The Unnamable ซึ่งเป็นงานเขียนที่ได้รับความนิยมและรางวัลระดับโลก Samuel Beckett เสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ที่ปารีส ฝรั่งเศส แต่ผลงานของเขายังคงมีผลกระทบในวรรณกรรมและศิลปวิทยาจนถึงปัจจุบัน
ผลงานของ ซามูเอล เบ็คเค็ทท์ (Samuel Beckett)
Waiting for Godot
เป็นหนึ่งในละครที่มีผลกระทบมากที่สุดในวรรณกรรมโลก ผลงานนี้เล่าเรื่องราวของสองชายที่ชื่อว่า Vladimir (หรือเรียกว่า Didi) และ Estragon (หรือเรียกว่า Gogo) ซึ่งพบกันในทางหลวงแห่งที่เงียบสงบและติดตามอยู่รอคอยใครบางคนที่ชื่อ Godot ซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่เคยปรากฏตัวในละคร “Waiting for Godot” ไม่มีเรื่องราวที่ชัดเจนและที่ชัดเจน เนื้อเรื่องหลากหลายและเป็นที่โต้แย้ง ละครนี้เน้นในความหมายและการสืบค้นความหมายของชีวิต การรอคอยเป็นหัวใจของเรื่อง ซึ่งการรอคอยนี้เป็นการแสดงถึงความหมายของการดำรงชีวิต การหาความหมายในชีวิตที่อาจไม่มีคำตอบชัดเจน ละครนี้เต็มไปด้วยการโต้แย้งและการพูดคุยที่เป็นธรรมดา ภาษาในละครนั้นเป็นภาษาซับซ้อนและมีการเล่นคำเพื่อสร้างความตลกซึ่งอาจเป็นการบังคับให้ผู้ชมคิดในทางที่แตกต่าง
Endgame
เป็นละครที่มีความเข้มข้นและมืดมน ภายในละครนี้เราพบกับตัวละครสี่คนที่ติดตามชีวิตตนเองในสภาวะที่ชื่อว่า “endgame” หรือสถานการณ์สุดท้าย นี่คือการแสดงถึงความหมายของการดำรงชีวิตในตอนสุดท้ายของมนุษย์ เรื่องราวใน “Endgame” ถูกเล่าในแนวทางศิลปะสมัยกลางที่มีลักษณะมืดมนและน้อยความหวาดกลัว ตัวละครหลักคือ Hamm ผู้พิการที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อดูแลและตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือในการจบการดำรงชีวิตของตนเอง เนื้อเรื่องของละครเกิดขึ้นในห้องที่ปิดกั้นและแสดงถึงความเชื่อมโยงและการขัดแย้งระหว่างตัวละคร ภาษาในละครนี้อาจจะซับซ้อนและเต็มไปด้วยการเล่นคำและฮิตซ์ซกอนี้ “Endgame” เป็นละครที่มีความเป็นเอกลักษณ์และอาจยากต่อการตีความ ซึ่งอาจจะถูกให้ความหมายและตีความในหลายแง่มุม มันเป็นละครที่ชวนให้ผู้ชมคิดและสร้างความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่ท้าทาย
เรื่องราวใน “Endgame” เป็นการสะท้อนถึงสภาวะมนุษย์ที่ล้มเหลว ความหวาดกลัว และความหายนะในชีวิต ผ่านตัวละครที่เดือดร้อนและบาดเจ็บ เราเห็นความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์และความเป็นไปไม่ได้ที่สำคัญผลงาน “Endgame” เป็นหนึ่งในผลงานที่สำคัญของ Samuel Beckett ที่ได้รับการยกย่องสูงมาก ภายหลังการเขียนเสร็จสิ้น ผลงานนี้มีผลกระทบอย่างมากในวรรณกรรมโลกและได้รับความนับถือในการเล่าเรื่องราวที่มีความหมายลึกซึ้งและครอบคลุม
Krapp’s Last Tape
อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจและเอกลักษณ์ของเขา ละครนี้เล่าเรื่องราวของ Krapp ผู้ชายที่อายุแล้วกำลังจะตาย ทุกปีเขาจะบันทึกเสียงตัวเองเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการจดบันทึกของเขาในอนาคตละครนี้เป็นการสืบทอดเรื่องราวของชีวิตของ Krapp ผ่านทางเทปเสียงที่เขาได้บันทึกเอง มันสร้างช่องทางให้เราเข้าถึงความคิดและความรู้สึกของตัวละครหลักอย่างลึกซึ้ง
เนื้อเรื่องของ “Krapp’s Last Tape” อาจจะดูเรียบง่ายแต่แสดงถึงความลึกซึ้งของมนุษย์ มันสะท้อนถึงความเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่ายที่เกิดจากการสัมผัสกับความล้มเหลวและการผิดพลาดในชีวิตการแสดงละคร “Krapp’s Last Tape” ต้องการนักแสดงที่มีความไว้วางใจและทักษะในการสื่อความรู้สึกและความคิดของตัวละครผ่านทางเสียงเพียงอย่างเดียว การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสิ้นสุดอายุของตัวละครก็เป็นสิ่งสำคัญในการเล่าเรื่องราวนี้ ภายในเราได้พบกับการสัมผัสความเป็นโลกอันโหดร้ายและเงียบสงบของ Krapp ผ่านการฟังและการรับรู้เสียงของตัวเองในอดีต ภายในเทปเสียงที่เขาฟังอีกครั้งนี้เขาพบกับความเจ็บปวดที่แท้จริงและความหมายที่ละเอียดอ่อนของชีวิต
Happy Days
เรื่องราวใน “Happy Days” เป็นเรื่องราวของ Winnie ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องอยู่กับชีวิตของเธออย่างเงียบสงบในกล่องดิน ซึ่งเป็นที่อยู่ของเธอตลอดเวลา ตั้งแต่เช้าถึงเย็น สิ่งที่เธอมีคือการพูดคุยกับตัวเองและการพูดคุยกับชายของเธอที่อยู่ด้านหลัง แม้ว่า Winnie จะต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของชีวิตแต่เธอก็ยังคงมีความหวังในชีวิตและความรัก “Happy Days” เป็นผลงานที่เป็นเอกลักษณ์และมีสไตล์ของ Beckett ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของเขาในการสร้างโลกที่หลอนหลอนและมืดมน ผู้ชมจะได้พบกับความเจ็บปวดและความอ่อนแอของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันเรายังพบกับความหวังและความหมายของชีวิต ผลงานนี้ต้องการนักแสดงที่มีความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้ตรงกับแนวคิดของเขา
และนี้คือประวัติและผลงานบางส่วนของ ซามูเอล เบ็คเค็ทท์ (Samuel Beckett) นักเขียนที่สะท้อนภาพพจอันมืดมนของมนุษย์ สุดท้ายนี้หากนักอ่านท่านไหนที่สนใจอยากรู้จักนักเขียนท่านอื่นๆ และบทความเกี่ยวกับหนังสือที่ดีๆ น่อย่าแวะเข้ามาใหม่ได้ที่ aricle.eeeed นะคะ เรามีบทความดีๆ มาอัพเดทอยู่เสมอให้นักอ่านทุกท่านเข้าใจโลกของหนังสือให้มากขึ้น เลือกจะ Read เลือก Reeeed ค่ะ