หากกล่าวถึงอารยธรรมโบราณอารยธรรมที่คนมักนึกถึงก็มันจะเป็น สุเมเรียน อียิปต์ ลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่เป็นอารยะธรรมเก่าแก่ลำดับต้นๆ อย่างแน่นอน แต่บนโลกใบนี้นั้นในอดีตเองก็มีอารยธรรมมากมายเกิดขึ้นที่ส่งต่อเรื่องราวของพวกเขาผ่านยุคสมัยให้เราได้ศึกษากันในปัจจุบันและยังน่าสนใจไม่แพ้กันอีกด้วย แต่ก็ยังมีอารยธรรมที่ไม่ได้ผ่านกาลเวล่และล้มสลายหายไปเหลือเพียงชื่อหรือเรื่องเล่าเพียงเท่านั้น วันนี้ Reeeed จะพานักอ่านไปรู้จักกับอารยธรรมโบราณที่เป็นปริศนาหรือแทบจะหายสาบสูญจนเกือบจะไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้เราได้ศึกษา จะมีอารยะธรรมไหนบ้างมาติดตามกันเลยค่ะ
4 อารยธรรมและอาณาจักรที่สาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์
แอตแลนติส (Atlantis)
แอตแลนติสเปรียบได้ดั่งเมืองลับแลที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุดตามตำนานและเรื่องเล่ากล่าวกันว่าเมืองแห่งนี้นั้นได้จมลงสู้ใต้น้ำไปแล้ว ถูกกล่าวถึงโดย เพลโต (Plato) ในผลงาน ครีติอัส (Critias) ที่เขียนขึ้นโดยนักปราชญ์ผู้นี้โดยเพลโตกล่าวอ้างว่า (โซลอน solon) ปูของเขาเป็นผู้เล่าให้ฟังอีกที แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดถึงความจริงว่าแอตแลนติสอนาณาจักรปริศนาแห่งนี้นั้นมีอยู่จริงหรือเปล่าจึงเชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องอุปมาอุปไมยและคำอุปมาอุปไมยของเพลโตเท่านั้น ตำนานกล่าวว่าที่ตั้งของแอตแลนติสนั้นอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติส เป็นเมืองที่มีความสวยงามเต็มไปด้วยน้ำพุ บ้านเรือน อาคารและวัฒนธรรมล้ำสมัยที่แตกต่างไปจากอาณาจักรต่างๆ ในยุคเดียวกัน ในปัจจุบันก็ยังไม่พบหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าเมืองแห่งนี้มีอยู่จริงหรือไม่ แม้การสำรวจหลายๆ ครั้งจะมีข้อสันนิฐานเพิ่มขึ้นแก่อาณาจักรแห่งนี้ก็ตามที
อาณาจักรนาบาเทียน (Nabataean)
เป็นอารยธรรมที่มีแหล่งที่ตั้งอยู่บริเวรตอนเหนือของอาหรับในพื้นที่ประเทศจอร์แดนในปัจจุบัน ชนชาตินี้มีบทบาทสำคัญในการค้าและการสื่อสารระหว่างภูมิภาคต่างๆในสมัยโบราณโดยเฉพาะซีเรียและอียิปต์โบราณ นาบาเทียนในอดีตนั้นมีความสำคัญในแถบอาหรับเพราะเป็นแหง่ผลิตสินค้าที่มีความต้องการสูง อาทิ เกลือ กาแฟ และสมุนไพร ทั้งยังสร้างสิ่งก่อสร้างอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง นครเพตรา (Petra) ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่สวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนานในการเป็นศูนย์กลางการค้าในอดีต ชาวนาบาเทียนใช้ช้ภาษาอารบิกในการสื่อสารและเขียนเมื่อต้องติดต่อกับชนชาติอื่นๆ นั้นจึงทำให้นาบาเทียนเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อที่ทำให้เกิดการค้าขายขึ้นในแถบอาหรับ ภายหลังนาบาเทียนพ่ายแพ้ในสงครามและตกอยู่ในปกครองของอาณาจักรโรมันอยู่ยาวนานก่อนที่ชาติพันธุ์ของพวกเขาจะค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ เป็นที่น่าเสียดายว่าแม้ชาวนาบาเทียนจะอ่านออกเขียนได้ แต่บันทึกเกี่ยวกับอารยธรรมของพวกเขากลับพบได้ในภาษากรีกและโรมันเท่านั้น
อีทรัสคัน (Etruscan)
อีทรัสคันเป็นชนชาติโบราณที่มีอารยะธรรมบริเวณภาคกลางของอิตาลีในปัจจุบัน มีความสำคัญตั้งแต่ประมาณ 800 ก่อนคริสตกาลถึงประมาณ 300 ก่อนคริสตกาลเป็นชนชาติที่เศรษฐกิจมีอิทธิพลที่สูง มีการค้าและการผลิตของศิลปะที่ยอดเยี่ยม รวมถึงยังเป็นแหล่งผลิตเหล็กและโลหะต่างๆ ที่สำคัญในยุคนั้น มีวัฒนธรรมและศิลปะที่มีความสวยงามและทันสมัย ทั้งยังมีการใช้ภาษากรีกโบราณที่ในปัจจุบันจะสามารถออกเสียงได้แต่ก็ยังไม่สามารถแปลได้สมบูรณ์ดีนัก ชาวอีทรัสคันมีวิธีการก่อสร้างเมืองที่ยอดเยี่ยมและมีการออกแบบสิ่งก่อสร้างที่ได้รับความรู้จักมากมาย รวมถึงสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “Tuscan order” ซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างหลังคาที่มีลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยมที่มุงหน้าด้านหน้า ชาวอีทรัสคันต่อสู้กับชาวโรมันในปี 300 ก่อนคริสตกาล ซึ่งภายหลังอีทรัสคันพ่ายแพ้และได้ถูกโรมันผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจักวรรดิโรมัน โดยโรมันใช้วิธีการกลืนวัฒนธรรมต่างๆ เขามารวมกับของตนเอง ทั้งยังซึมซับนำเอาศิลปะ วิทยากร วิศวรกรรมต่างๆ มาด้วยทำให้อีทรัสคันก็เริ่มสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างช้าๆ แต่ก็กล่าวได้ว่าโรมันได้รับอิทธิพลไม่น้อยจากอีทรัสคัน
ชาวราปานุย (Rapa Nui)
เป็นชนชาติที่มีสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีชื่อเสียงมากในแทบทวีปอเมริกาใต้เนื่องจากเกาะของชาวราปานุยหรือเกาะอิสเตอร์ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศชิลี ซึ่งเป็นประเทศที่ครองเกาะราปานุย ชาวราปานุยได้สร้างโมโนลิธิกลุ่มเป็นหินที่มีขนาดใหญ่มากเรียกว่า โมอาย ประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตกาลไว้รอบเกาะโดยมีจำนวนเกือบ 900 ตัว โดยโมอายกลุ่มนี้เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมชาวราปานุย นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัสดุเป็นกระดูกมนุษย์และไม้ มีรูปลักษณ์ของมนุษย์หรือสัตว์ที่มีเอกลักษณ์อีกด้วย อารยธรรมของชาวราปานุยมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อศตวรรษที่ 18 โดยหลักคือการล่าสิ่งมีชีวิตในทะเลรอบเกาะมากเกินความจำเป็นทำให้ทรัพยากรในเกาะนั้นลดลงและการบุกรุกของชาวยุโรปที่มายังเกาะราปานุยนำพาโรคเรื้อนกับไข้ทรพิษมาแพร่โดยไม่ตั้งใจ พร้อมกับในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ทีพ่อค้าทาสเข้ามากวาดต้อนชาวราปานุยไปเป็นทาสจำนวนมากอีกด้วย ก่อนช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบครองเกาะต่อไป การสูญเสียอิสระภาพและผู้คนที่ถูกกวาดต้อนไปกว่า 100 ปีทำให้แม้ปัจจุบันยังมีชาวราปานุยอยู่บนเกาะแต่วัฒนธรรมต่างๆ ก็ถูกลืมเลือนไปแทบหมดสิ้น
และนี้คือ 4 อารยะธรรมโบราณที่เรานำมาฝากนักอ่านกันในวันนี้ หากใครสนใจอยากอ่านต่อก็สามารถติดตามได้ที่หนังสือ อาณาจักรที่สาบสูญ : Mysteries of Lost Ancient Kingdoms ตามด้านล่างได้เลย
ผู้อ่านจะได้เริ่มต้นออกเดินทางตามหา อารยธรรมที่สาบสูญอันยิ่งใหญ่ที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนอย่างอารยธรรม “แอตแลนติส” และค่อย ๆ แกะรอยตามหาอารยธรรม ที่สาบสูญไล่เรียงไปตามแต่ละพื้นที่ของโลก ตั้งแต่ภูมิภาคตะวันออกกลางที่ตั้งของชุมชนดึกดาบรรพ์เก่าแก่ เทียบชั้นอารยธรรมแอตแลนติสไปจนถึงทวีปแอฟริกา เอเชีย ตามด้วยยุโรป ก่อนปิดท้ายด้วยอารยธรรมที่สาบสูญในดินแดน “โลกใหม่” หรือทวีปอเมริกา ที่นักประวัติศาสตร์เสนอว่าอารยธรรมแรกเริ่มของโลกไม่ควรมีเพียง 4 แห่งแต่ควรนับรวมอารยธรรม “โอลเมด” ต้นธารแห่งอารยธรรมมายาในทวีปอเมริกากลางและอารยธรรม “ชาวีน” เจ้าแห่งพิธีกรรมหลอนจิตในทวีปอเมริกาใต้เข้าไปด้วย
สุดท้ายนี้อย่าลืมติดตามบทความดีๆ ได้ที่ article.reeeed นะคะ เรามีหนังสือ นักเขียน น่าสนใจมาแนะนำกันอยู่เสมอ และใครที่มองหาร้านหนังสือออนไลน์ก็อย่าลืมแวะเข้ามาที่ Reeeed.com เรามีหนังสือมากมายรอให้คุณมาเลือกอ่านอยู่ เลือกจะ Read เลือก Reeeed นะคะ
ซื้อหนังสือ อาณาจักรที่สาบสูญ : Mysteries of Lost Ancient Kingdoms