ใน “ชีวิต” และ “การทำงาน” ปัจจุบันที่เราต้องตื่นตัวพัฒนาตนเองเสมอนั้น ส่งผลกระทบทำให้บางคนเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว การมุ่งเน้นทำงานให้มีประสิทธิภาพและพัฒนาตนเองอยู่เสมอนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรคำนึงถึงจิตใจและความสุขในแต่ละวันของเราด้วย วันนี้เรามีรีวิวหนังสือดีๆ จากคุณ 85mm ที่จะมาแนะนำเทคนิคให้ “ชีวิต” และ “การทำงาน” สามารถไปด้วยกันได้อย่างสอดคล้อง สร้างความสุขในการทำงานและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นพร้อมๆ กับการทำให้ตัวเองมีความสุขหลีกหนีจากภาวะความเครียดสะสม หนังสือเล่มนี้คือ “NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย” หนึ่งในศาสตร์ที่ถูกใช้โดยชาวดัตซ์ซึ้งส่งผลให้มีความสุขได้เพิ่มขึ้น มาทำความรู้จักกับ NIKSEN จากบทความรีวิวในวันนี้กันครับ
NIKSEN ปรัชญาการสร้างความสมดุลระหว่าง ‘ชีวิต’ กับ ‘การทำงาน’ ที่ทำให้ชาวดัตช์มีดัชนีความสุขสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเมื่อนำศาสตร์ NIKSEN มาใช้ “NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย” ในชีวิตและการทำงานหลายๆ ครั้ง
ก่อนจะเข้าถึงเนื้อหาที่ผมจะพูดถึงหนังสือเรื่อง NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย ในวันนี้ เอาจริงๆ หลังจากที่ได้อ่านเล่มนี้หรือระหว่างที่กำลังอ่านเจ้า NIKSEN เล่มนี้ ผมมีคำถามที่อยากถามทุกคน ไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิทหรือใครต่อใครว่า
“คำว่า WORK-LIFE-BALANCE ยังสามารถนำมาใช้กับชีวิตตัวเราตอนนี้ได้ไหมครับ?” หรือว่า
“ตอนนี้ทุกคนมีวิธีในการสร้าง Space หรือพื้นที่ที่แยกระหว่าง ‘งาน’ และ ‘ชีวิต’ อย่างไรครับ?”
เอาจริงๆ ส่วนตัวผมเลยนะ หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่รอดมาได้ในยุคนี้ ผมรู้สึกว่าเรากำลังถูกค่านิยมของสังคมตอนนี้หล่อมหลอมให้รู้สึกว่า ‘ต้องตื่นตัวตลอดเวลา มีความ Productive อันแรงกล้า ต้องทำงานได้เยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งดีและงานที่สั่งมาเราต้องทำเป็นทุกอย่าง’ คือมันยากมากๆ ที่จะดึงชีวิตตัวเอง Roll-Back ให้กลับไปใช้ชีวิตก่อนที่จะมาเริ่ม Work From Home เอาจริงๆ เรื่อง ‘ความยุ่ง’ มันเป็นอะไรที่โคตรจะ Subjective เอามากๆ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบริหารเวลาล้วนๆ บางคนยุ่งแต่รับมือไหว บางคนยุ่งจนชีวิตพันกันอิรุงตุงนังก็มี
นั่นแหละครับ เลยเป็นที่มาของหนังสือที่หยิบมาแนะนำวันที่ NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย เอาจริงๆ ก่อนจะอ่านชื่อเรื่อง เราสะดุดตากับเจ้าแมวอ้วนที่รู้สึกว่าเหมือนตัวเองทั้งในแง่กายภาพและอารมณ์ที่สื่อออกมา ฮาาา
หนังสือเรื่อง NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย เล่มนี้กล่าวถึงศาสตร์และวิธีการที่ชาวดัตช์ ประเทศเนเธอแลนด์ใช้ในชีวิตประจำวัน จากข้อมูลสถิติที่พบบอกว่าชาวดัตช์มีดัชนีความสุขสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ศาสตร์นี้เอาจริงๆ ง่ายมากๆ เพราะถ้าพูดถึงความหมายของคำว่า NIKSEN ก็คือ คนขี้เกียจ ไร้ประโยชน์ หาดีไม่ได้
คำว่า NIKSEN มีความหมายเชิงลบมาโดยตลอด แต่ภายหลังได้ถูกนำมาตีความในเชิงบวก ในยุคที่โลกหมุนเร็วจี๋ ทำให้ผู้คนเกิดความเครียด เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดนี้ NIKSEN จึงเข้ามาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเขาไปโดยปริยาย
อ่านแบบนี้แล้ว อาจจะมีคำถามว่าแล้วยังไงต่อ เพราะเอาจริงๆ พูดง่ายๆ NIKSEN ก็คือการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยใจให้ลอยไป กล้าที่จะเฉื่อย กล้าที่จะปฏิเสธคำข้อร้องของผู้อื่น มองตัวเองมากขึ้น หยุดวิ่งตามความวุ่นวาย (ที่ไม่ก่อให้เกิดผลดี) พูดเหมือนง่ายนะครับและก็ดูจะเหมาะกับชีวิตของเราตอนนี้ที่เส้นแบ่งคำว่า ‘เวลา’ และ ‘งาน’ มันเข้ามาชิดกันไปทุกทีๆ จนแทบจะรวมเป็นอันหนึ่งกันเดียวกันอยู่แล้ว
หนังสือ NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย บอกให้เราทลายความเชื่อผิดๆ ที่ผมขอยกตัวอย่างมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านส่วนหนึ่งนะครับ
- ฉันยุ่งเกินกว่าจะอยู่เฉยๆ — กล่าวคือถ้าสมองคุณบอกว่าควรเหยียบเบรกได้แล้ว หมายความว่าคุณต้องกล้าที่จะเหยียบและยอมรับกับตัวเองว่าคุณไม่ใช่ยอดมนุษย์
- อยู่เฉยๆ แปลว่าขี้เกียจ — แด่บุคคลที่ชอบทำอะไรแบบ Multitasking บ่อยๆ การอยู่เฉยๆ คุณอาจจะรู้สึกผิดต่อตัวเอง แต่อย่าลืมว่าการให้เวลากับตัวเอง นั่งเฉยๆ และได้ใช้เวลากับความคิดของตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดี
- อย่าหยุดพัก เพราะทุกคนต้องการเรา — การช่วยเหลือคนอื่น ใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่คุณต้องอย่าลืมดูแลตัวเอง หยุดเสียพลังงานไปกับความต้องการที่จะเป็นที่ต้องการและลงทุนเวลาให้กับบุคคลสำคัญในชีวิตคุณมากขึ้น นั่นก็คือตัวคุณเอง
อย่างว่าครับหนังสือเล่มนี้เน้นเรื่องการที่เราสามารถให้เวลากับตัวเอง สอนวิธีคิด มี Workshop สั้นๆ ที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน บางข้อก็ไม่ต่างกับการนั่งสมาธิเท่าไหร่ เอาง่ายๆ เลย
- ก่อนนอนอย่าจับโทรศัพท์หรือตื่นเช้ามาสิ่งแรกอย่าเพิ่งหยิบโทรศัพท์ แต่ให้ลืมตา ลุกขึ้นมานั่งมองธรรมชาตินอกหน้าต่าง ใช้เวลากับตัวเอง
- การนอนราบเอามือวางไว้หน้าท้องและจับจังหวะการหายใจของเรา
- ในเวลาทำงานทุกชั่วโมง ก็หาเวลา NIKSEN ให้ตัวเองได้ อาจจะสัก 5 นาทีก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเมื่อเราสามารถสลัดความคิดเรื่องงานและอยู่กับตัวเองได้แล้ว
ส่วนตัวผมว่าบางข้อน่าสนใจเอามาใช้งานได้ แต่บางข้อสำหรับบริบทในสังคมหรือลักษณะของหน้าที่การทำงานอาจจะเป็นไปได้ยาก ถ้าบอกว่าคุณต้องกล้าที่จะไม่รับสายนอกเวลางานหรือปฏิเสธเมื่อคนอื่นมาขอความช่วยเหลือ ถ้ามันขัดกับหน้าที่การงานของเรา ผมว่าก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เราควรไปหาวิธีอื่นแทนจะดีกว่า
คำถามสำคัญคือแล้ว NIKSEN ช่วยอะไรเราบ้าง ? คำตอบคือ
- มีเรี่ยวแรงมากขึ้น — การพักเป็นครั้งคราวจะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดีขึ้น
- สุขภาพดีขึ้น — ช่วยป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียพลังงาน ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหมดไฟ หรือ Burn-out
- ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น — อย่าลืมว่าคนในบ้านสัมผัสได้ว่าเรากำลังเครียดอยู่หรือไม่
- สมองแข็งแรงยิ่งขึ้น — ถ้าอยากมีสมองแข็งแรง ต้องการช่วงเวลาหยุดทำงานเพื่อฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น
- เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น — เมื่อสมาธิดีขึ้น เราจะทำสิ่งต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพิ่มความตระหนักรู้ในตนเอง — เราจะรู้ว่าอะไรในตอนนี้ที่สำคัญกับตัวเอง
- อาจเกิดการตื่นรู้ — เห็นปัญหา เข้าใจคำถามและประเด็นต่างๆ ชัดเจน
- มีเวลาวางแผนเป้าหมายยาวขึ้น — เราสามารถคิดถึงเป้าหมายในระยะยาวได้บ่อยกว่าตอนที่เราบังคับให้ตัวเองมีสมาธิถึง 14 เท่า
- นอนหลับดีขึ้น — การให้เวลาพักในแต่ละวันจะช่วยลดความเครียดลงได้ ทำให้คุณภาพการนอนดีขึ้น
สุดท้ายหนังสือ NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย เล่มนี้สอนให้เราชะลอการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ให้เวลากับตัวเอง กล้าที่จะเบรกเพื่อฟื้นฟูสมองจากความเหนื่อยล้า ส่วนตัวรู้สึกช่วย Inspire คือถ้าเราฝึก NIKSEN จนทำเป็นนิสัยได้ น่าจะช่วยชีวิตมดงานอย่างเราได้มากเลยครับ
บทความรีวิวดีๆ จากคุณ 85mm ครับ สุดท้ายนี้การทำงานให้มีประสิทธิภาพนั้นควรเริ่มต้นจากสภาพจิตใจที่พร้อมของผู้ปฏิบัติงาน เราหวังว่าเมื่อคุณเรียนรู้หรือลองอ่าน NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย แล้วจะมีส่วนช่วยให้คุณบริหารสมดุล ชีวิต และ การทำงาน ได้ดียิ่งขึ้น กล้าที่จะหยุดพัก กล้าที่จะปฏิเสธผู้อื่นได้มากขึ้น ก่อให้เกิดความสุขในการทำงานและความสุขในชีวิต