เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปเราทุกคนต่าก็ต้องเติบโตบนเส้นทางที่เราเลือกแล้วคิดว่าดีที่สุดสำหรับเราในตอนนั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไปเราอาจพบว่าเส้นทางที่กำลังเดินอยู่กลับทำให้ความมั่นใจของเรานั้นค่อยๆ สั่นคลอนทีละน้อย และในบางครั้งถึงกับตั้งคำถามต่อเส้นทางที่เลือกว่าถูกต้องและดีที่สุดหรือยัง กว่าจะรู้ตัวอีกทีเราก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว มีภาระหน้าที่มากมายที่ต้องรับผิดชอบให้ได้ ยิ่งทำให้ตัวตนของเราเลือนรางเพราะต้องจำใจกลายเป็นผู้ใหญ่ทั้งๆ ที่ตัวเราเองไม่ได้รู้สึกเติบโตขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น วันนี้จึงขอนำหนังสือน่าสนใจอย่าง “ฉันต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ยังไม่รู้อะไรเลย” มารีวิวในบทความนี้ หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปทำความเข้าใจการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เราค่อยๆ ขาดความมั่นใจและออกจากเส้นทางที่เคยวางแผนเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ปรารถนาให้เราไม่หลงลืมความรู้สึกในช่วงเวลาที่เราก้าวเดินบนเส้นทางนี้
รีวิว “ฉันต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ยังไม่รู้อะไรเลย”
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักเขียน อึล นยัง อี เจ้าของผลงานเดียวกับ “แมว 9 ชีวิตสอนฉันว่าเหมียว เหมียว เหมียว” ที่ยังคงเล่าเรื่องผ่านมุมมองที่ผู้เขียนอยากถ่ายทอดออกมาอย่างเช่นเคย โดยในเล่มที่แล้วผู้เขียนพาไปพบกับมุมมองการเติบโตของผู้คนผ่านสายตาเจ้าแมวที่คอยสอดส่องดูเราอยู่อย่างห่างๆ มาในเล่มนี้ผู้เขียนจะพาเราไปพบกัยอีกมุมมองของชีวิตสำหรับหลายๆ คนที่เติบโตมาแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โตไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น หลายคนเมื่อพบเจอกับปัญหาก็ยังไม่สามารถรับมือได้ราวกับตัวเองเป็นเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ต้องการบอกให้กับผู้อ่านได้รับรู้ถึงความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์และการที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าความมั่นใจและเก่งจะมีมากพอเช่นกัน แต่การรู้จักแบ่งปันเรื่องราวดีๆ และเจ็บปวดบ้าง แค่นั้นก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยหนังสือจะพาเราไปพบกับ 4 part ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่ต่างมุมกันออกไป
part 1 ผู้ใหญ่ก็มีวันที่อยากปล่อยโฮเหมือนกัน
หลายๆ คนอาจเข้าใจว่าเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นการร้องไห้ฟูมฟายเป็นสิ่งที่เราไม่ควรกระทำอีกต่อไป พฤตติกรรมหลายๆ อย่างที่เราเคยทำเมื่อตอนเป็นเด็กนั้นควรสลัดทิ้งเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แต่ในมุมของผู้เขียนจะพาไปสำรวจความรู้สึกในจุดนนี้และแสดงให้เห็นว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นมาพร้อมกับคราบน้ำตาด้วยเช่นกัน ที่จริงแล้วหากเราได้มองย้อนกลับไปวัยเด็กนั้นความเจ็บปวดที่เราต้องพบเจอช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับการเป็นผู้ใหญ่ ปัญหามากมายที่เมื่อโตขึ้นเราต้องเจอ อาทิ เหล่าบุคคลที่ไม่เป็นมิตรแต่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น การทำงานในบริษัทที่สภาพแวดล้อมสังคมไม่เอื้ออำนวย ความโหดร้ายที่เราไม่เคยรู้เมื่อยามเป็นเด็กกลับต้องพบเจอในวัยผู้ใหญ่ที่มากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราไม่เข้มแข็ง เพียงแต่ปัญหามาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณเกินกว่าที่คิด การร้องไห้ฟูมฟาย ปล่อยโฮออกมาและแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นกับคนที่รักจึงไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังแต่อย่างใด
part 2 เราเป็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนมักเข้าใจผิดคือการที่เราโตขึ้นต้องสลัดคราบเด็กออกไป แต่รู้อะไรไหมจริงๆ แล้วเรายังรักษาความเป็นเด็กพร้อมๆ กับเติบโตได้เช่นกัน และตรงกันข้ามเราควรรักษาความเป็นเด็กนั้นมากกว่าสลัดมันทิ้งเสียด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นว่าผู้ใหญ่ต้องเลิกฟังนิทาน เล่นเกมหรือดูการ์ตูน เป็นผู้ใหญ่ก็ยังสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้หากทำแล้วเกิดความสุข แน่นอนว่ารวมถึงอารมณ์ความรู้สึกก็ด้วยเช่นกัน หากกำลังเจอเรื่องที่เกินจะรับไหวก็ลองเอาแต่ใจออกไปใช้ชีวิติวิ่งเล่นเหมือนเด็กที่ไม่มีเรื่องทุกใจสักหน่อย การเติบโตขึ้นพร้อมรักษาความเป็นเด็กไว้สิ่งนั้นต่างหากที่ยอดเยี่มที่สุด
part 3 เข้าใจว่าแค่มีรักก็พอแล้ว
ความรักมักมาคู่กับการเติบโตเสมอและเป็นเรื่องน่าแปลกที่ความรักเป็นหนึ่งในปัจจัยในการหล่อหลอมให้คนๆ หนึ่งเติบโตขึ้นเป็นอย่างทุกวันนี้ แน่นอนว่าการมีความรักที่ดีย่อมเป็นการสนับสนุนชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งจิตใจและการใช้ชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังกับความรัก บางคนเจอรักที่แย่ บางคนก็ทำความรักพังไม่เป็นท่า บางคนอาจใช้เวลายาวนานเพื่อปรับตัวเข้าหากันก็มี แต่สิ่งสำคัญคือต่อให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผลมากพอความรักก็อาจไม่ได้ราบรื่น บ่อยครั้งคนมักโทษตัวเองเมื่อต้องเลิกรา แต่คุณควรรู้ว่าการเลิกราบ่อยครั้งมีสาเหตุที่มากกว่าเกินที่เราจะเข้าใจ
part 4 เรื่องราวของผู้ใหญ่ที่มีทุกข์สุขเป็นงานอดิเรก
บทสุดท้ายนี้หลายๆ ทุกคนน่าจะเข้าใจถึงความเป็นธรรมชาติของการโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและเข้าใจความยากและหนักหนาของการโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นอย่างโทษว่าตัวเราไม่รู้จักโตเลย การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ห้ามอ่อนแอหรืออ่อนไหว แม้เราจะโตขึ้น มีเหตุผลความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็เป็นมนุษย์ ซ้ำร้ายวัยผู้ใหญ่กลับใจร้ายมากกว่ากว่าที่คิดอีกด้วย
และทั้งหมดคือรีวิวเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือ “ฉันต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ยังไม่รู้อะไรเลย” เชื่อว่าใครที่กำลังมีความคิดว่าเรายังไม่โตตามอายุจะได้เข้าใจว่าแม้เราจะโตขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าห้ามเป็นเด็ก และหวังว่าจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นเช่นกันเลิกโทษตัวเองว่าอ่อนแอและทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นในท้ายที่สุด